วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เคล็ดลับการล้างหน้าง่ายๆ ลดความเสี่ยงสิวขึ้น


พูดถึงการล้างหน้าแล้ว บางทีคนเราลืมสิ่งที่เบสิคที่สุด และจุดประสงค์ของการล้างหน้าว่าคืออะไร
จุดประสงค์การล้างหน้าก็เพื่อไม่ให้หน้าสกปรกนั่นเอง
จริงๆแล้วพวกผู้ชายทีสิวขึ้นที่หน้าเยอะๆ บางทีไม่ต้องสรรหายาหรือสบู่วิเศษอะไรเลย เพียงแค่หาคอนเซ่ปที่ว่าถ้าหน้าไม่มัน สิวมันก็ไม่ขึ้น  ฉะนั้นก็จงล้างหน้าใจตำแหน่งที่มีความมันให้มันมีความมันน้อย อย่าให้หน้ามัน ก็จะลดโอกาสการเกิดสิวได้อย่างมาก และตรงประเด็นด้วย ส่วนจะใช้อะไรล้างนั้นก็แล้วแต่ สบู่ก็ได้ โฟมล้างหน้าก็ดี แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ยี่ห้อแพงๆ
แค่นี้ก็หน้าใสและลดโอกาสการเกิดสิวได้เยอะแล้ว
ถ้าสงสัยว่าจริงเหรอ แค่นี้เหรอก็ช่วยได้ ก็ลองเอาไปทำดูนะครับว่าช่วยได้จริงไหม  อย่าลืมว่าของที่ขายนั้นถูกครอบงำด้วยแฟชั่น, การตลาด ฯลฯ แต่จริงๆ ผู้บริโภคเองนั่นแหละที่มองข้ามจุดประสงค์ของการล้างหน้าไปเอง
บทความต้นฉบับจาก kwamru.com
สามารถนำไปเผยแพร่ได้โดยอ้างอิงที่มา

ทรายเต็มแก้ว


เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม
‘ พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?’ เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโทแต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน ‘ เต็มแล้ว…’เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจหยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆกรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก” เหยือกเต็มหรือยัง ?’นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ ‘ เต็มแล้ว…’
เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือกเขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง ” เหยือกเต็มหรือยัง ?’
เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นานหลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
” คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์’
” แน่ใจนะ’
” แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ’
คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี” ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง’ เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น
” ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา
ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้
เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเต็มแล้ว… เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน’
ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่าเพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข
ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม ” แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?’
เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า ” การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ…

คุณจะเลือกทางไหน ?


มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง
รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว
มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ
คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่
แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม?
ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้
คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป
รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้
คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น
ผมคิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก
ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผลทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก
แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้อง ที่จะเล่นในสถานที่ๆปลอดภัยแล้วต่างหาก
แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน
ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การเมืองโดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย
คนกลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก
แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม
เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆของเขา
และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม
เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ
เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการ
ใช้งาน
และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน
เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น
นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจเป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย
ถ้ารถไฟถูกเปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้ เราทำให้ชีวิตของผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย
ในขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน
อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็เป็นได้
เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก บางครั้งเราอาจลืมไปว่า
การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ
และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป
ทุกๆคนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้
และนั่นคือเหตุผลที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ

เคยเห็นคนตาบอดไหม ??

คนตาบอด…ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่
คุณอาจเจอพวกเขาได้ …ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ เช่น ตลาดนัด
พวกเขาไปที่นั่น…
เพราะหวังว่า… คงจะมี คนใจบุญ ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง
คนสองคน…ที่จับมือกัน
ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด
เพราะต่างคน… ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่
นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว…ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆ เครื่องนึง
กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน…ที่ขาดไม่ได้…ก็คือขันอลูมิเนียม
อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน
ผมไม่ คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนักหรอก
แต่ก็ดูว่า…เขาตั้งใจร้องเหลือเกิน
และดูเหมือนเขาก็ หวัง ว่าคุณจะต้องชอบมัน
ผมเห็นเขาจับมือกัน
วินาทีนั้น…ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่าง
ที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด
คุณเคยนึกถึงความรักของ..คนตาบอด..หรือเปล่า
ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ
เพราะคนตาบอด…ไม่เคยรู้เลยว่า…
คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร
คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น
เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน
ไม่มีเกียรติยศ… ศักดิ์ศรี…ให้กังวลใจ
เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้
ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน
ตาสองข้าง ปิดสนิท….แต่เปิดใจเข้าหากัน
คนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ด้วย “ใ จ” ล้วนๆ
ความรัก….ก็เกิดจากตรงนั้น
คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง
คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก
คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน…และกลับถึงบ้านพร้อมกัน
พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ….?
คุณรู้หรือเปล่า
คนตาบอด…จับมือของคนที่เขารักไว้ตลอดทั้งวัน
คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไม๊… ?
ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี
หลายๆ คน มีเกียรติยศ หน้าที่ การงาน ที่ดีเหลือเกิน
หลายๆ คน ทั้งหล่อ ทั้งสวย…ทั้งรวย ทั้งฉลาด
แต่พวกเราหลายๆ คนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก
หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน….
เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น….
เอ….พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก….มากเกินไปหรือเปล่านะ
อนาคตของคนตาบอด..อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้
ดูเหมือนเขาจะ…สงสัยก็เพียงแต่ว่า
วันพรุ่งนี้…จะมีคนใจบุญซักกี่คน
ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข
ขอบคุณตลาดนัด…ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆในวันนี้
ผมเชื่อว่า…ครั้งหน้า…ที่คุณเห็นคนตาบอด…ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น
คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็นไม่ใช่ด้วยตา…แต่เห็นด้วยหัวใจ
เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวันนี้

รถโดนกรีดยาง (ให้แง่คิดการให้อภัย)


คำถามหนึ่งที่คนทั่วไปชอบถามเวลาเจอหน้า คือ ผมเคยโกรธบ้างไหม ผมก็จะยิ้มๆ และตอบว่า ผมก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ย่อมต้องมีความโกรธ แต่โชคดีไม่บ่อยนัก และเวลาโกรธส่วนใหญ่จะไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา คือ ความโกรธยังไม่ล้นออกมาทางคำพูดและการกระทำ ยังพอควบคุมหรือมีสติเห็นทัน ส่วนใหญ่มักจะเห็นใจที่เดือดอยู่ปุดๆ จะปุดมากปุดน้อย ก็ขึ้นอยู่กับระดับของเหตุการณ์นั้นๆ
โชคดีที่ระยะหลังๆ มานี่ ไม่ค่อยมีอาการปุดๆ ในใจเลย นานๆ จะเกิดสักหน คนที่จะสามารถทำให้ผมโกรธได้ต้องเป็นคนที่ยั่วเก่งมากๆ เรียกว่าต้องเป็นครูสอนธรรมะระดับเทพเชียวล่ะ
หลายปีก่อน มีเหตุการณ์หนึ่งที่เราได้ “เห็น” ความโกรธชัดเจนที่วิ่งเข้ามาเยือนในใจ บ่ายวันหนึ่งผมต้องไปงานศพกะทันหัน โดยไม่ทราบก่อนล่วงหน้าจึงไม่ได้เตรียมใส่ชุดดำ คนขับรถก็ลาป่วยพอดี จึงต้องขับรถกลับมาที่ทำงานเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป ซึ่งปกติที่ออฟฟิศผมจะมีที่จอดรถประจำ
ปรากฏว่าวันนั้นมีคนอื่นมาจอดรถในที่ของผมและที่จอดของบริษัทก็เต็มหมด วนรถอยู่นานพอสมควรเลยตัดสินใจจอดในที่ของคนอื่น เพราะเห็นว่าว่างๆอยู่ คิดในใจว่าขอจอดสัก 10 นาที วิ่งไปเปลี่ยนเสื้อกลับมาคงไม่เป็นไร เจ้าของที่คงยังไม่มามั๊ง
พอเปลี่ยนเสื้อกลับมาที่รถ ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของที่จอดนั้น มาจอดขวางรถเราไว้ แถมยังเข้าเกียร์ล็อคไว้อีก ทำให้เลื่อนรถไม่ได้ ตอนแรกกะว่าจะวิ่งไปหา รปภ.ให้ช่วยไปเชิญเจ้าของรถมาเลื่อนให้ แต่เกรงว่าอาจจะไปงานศพไม่ทัน เลยตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไปคืนนั้น…กว่าจะสวดศพเสร็จ กว่าจะรํ่าลาเจ้าภาพก็ดึกพอสมควร ผมก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน ลืมเรื่องรถไปเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินมาที่รถซึ่งจอดเอาไว้เมื่อคืน ก็ต้องตกใจอย่างมาก เพราะยางรถแบนแต๋ติดพื้น 4 ล้อเลย พอเห็นยางรถแบนเท่านั้น ความโกรธก็วิ่งเข้ามาในใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นอาการบางอย่างที่ไม่เคยเห็นอยู่ในใจ แต่พอเรามีสติเข้าไป “เห็น” ความโกรธที่วิ่งเข้ามา ก็หายไปโดยฉับพลัน ความโกรธไม่มีเลย ใจกลับเป็นปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากกับตัวเอง ส่วนใหญ่จะโกรธกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่า อย่าโกรธๆๆ แต่พอเผลอแป๊ปเดียว ความโกรธก็จะวิ่งเข้ามาสู่ใจ
แต่พอมีสติเข้าไปเห็นทันความโกรธเท่านั้น ความโกรธเงียบหายไป จำได้ว่าโกรธอยู่เพียง 3-5 วินาทีเท่านั้น เร็วมากๆ แล้วความโกรธก็หายไป ไม่รู้หายไปไหน ไม่กลับมาอีก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์จากชั้นที่จอดรถมาบนออฟฟิศ เราเกิดปัญญาบางอย่างที่จะจัดการกับเหตุการณ์นี้ด้วยสติ เป็นปัญญาที่ปกติตัวเองจะไม่สามารถคิดได้ขนาดนั้น มันเหมือนเป็นอาการสว่างวาบแล้วเกิดปัญญา ประมาณนั้น!
พอถึงออฟฟิศ…ผมก็สั่งเลขาฯ ให้ไปดูว่า เจ้าของรถทะเบียนคันที่จอดรถขวางผมเป็นใคร แล้วช่วยจัดดอกไม้ให้หน่อย เดี๋ยวจะเอาดอกไม้ไปให้เขา เลขาฯ ผมก็สงสัยทำไมต้องเอาไปให้ ทั้งๆที่เขามาปล่อยยางรถผม
ไม่ใช่แค่เลขาฯ เท่านั้นที่โกรธแทน พนักงานทั้งออฟฟิศโกรธกันหมด พนักงานวิ่งส่งเอกสารวิ่งมาเลย บอกว่านายๆ เดี๋ยวผมจะเอาไม้ไปทุบกระจกรถมันดีไหม รปภ.ของอาคารก็วิ่งขึ้นมาบอกว่า คนที่กรีดยางรถผมเป็นฝรั่งเจ้าของบริษัททัวร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย เขาทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว โดนกันหมด ทั้งกรีดรถ กรีดยางรถ โดนกันประจำ เขาเป็นคนนิสัยแบบนี้
ผมบอกทุกคนว่า ใจเย็นๆ รถผมเอง ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร อย่าโกรธนะ..
แล้วผมก็เอากระเช้าดอกไม้ขึ้นไปที่ออฟฟิศเขา ซึ่งตลกมากเพราะอยู่ตรงกันข้ามกับสำนักพิมพ์ D.M.G. ซึ่งผมเช่าไว้คนละชั้นกับออฟฟิศบริษัทประชาสัมพันธ์ คิดอยู่ในใจว่า อืม..ออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกัน อยู่ชั้นเดียวกันแท้ๆ ยังมาทำกันขนาดนี้! ผมพยายามจะขอพบเขา แต่เขาไม่ออกมาพบ ส่ง GM คนไทยและพนักงาน 2-3 คนยืนทำหน้าถมึงขึงขังกันอยู่หน้าออฟฟิศ แล้วถามผมว่าคุณใช่ไหมจอดรถทับที่เจ้านายเขา โวยวายกันใหญ่ แต่เขาคงไม่รู้ว่านายเขากรีดยางรถผม
ผมไม่ได้รับเชิญให้นั่ง และได้รับการยืนยันว่านายเขาไม่ออกมาพบแน่นอน ปล่อยให้ยืนถือดอกไม้อยู่อย่างนั้น ผมยืนอยู่สักพักหนึ่งเห็นว่าคุณฝรั่งคนนั้นไม่ออกมาแน่ เลยอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ลูกน้องเขาฟัง พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเปลี่ยนท่าที เชิญให้ผมนั่ง ดูเหมือนว่าจะตกใจที่นายเขามากรีดยางรถเรา
ผมบอกว่าตั้งใจเอาดอกไม้มาขอโทษเจ้านายคุณ สำหรับสิ่งที่ผมผิดพลาดในการจอดรถทับที่ของเขาเมื่อบ่ายวานนี้ แต่ผมมีเหตุจำเป็น คือ ต้องรีบไปงานศพ และที่จอดรถของผมและของบริษัทฯ มีรถจอดเต็มทั้งหมด และสิ่งที่อยากขอร้องคือ เราอยู่ในตึกเดียวกัน น่าจะพูดกันดีๆ ไม่น่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ หากเขาไปทำกับคนอื่นคงเดือดร้อน แต่สำหรับผม ผมไม่เดือดร้อน มีคนคอยดูแลเอารถไปเปลี่ยนยางได้ อย่างไรก็ตาม ผมฝากคำขอโทษไปถึงนายคุณด้วย
พูดจบแค่นั้น ผมก็ขอตัวลงมาทำงาน ปรากฏว่าก่อนเที่ยงวันเดียวกัน เลขาฯ และทีมงานเฮกันลั่นออฟฟิศ เพราะได้รับตะกร้าผลไม้ใหญ่มากพร้อมแชมเปญยี่ห้อแพงจากฝรั่งคนนี้ (เสียดายไม่ดื่ม!) เลขาฯ หัวเราะมากกว่าคนอื่น เพราะสารภาพว่าไม่ได้สั่งดอกไม้ แต่ไปเอากระถางต้นไม้ในครัวมาผูกโบว์ โชคดีที่มีฝีมือเลยออกมาสวยพอให้ผมถือไปมอบให้เขาได้ ลงทุนไม่ถึงร้อยบาท แต่ได้รับกลับคืนมามากกว่าหลายเท่า
แต่สิ่งที่ผมถือว่าเป็นรางวัลแท้จริง คือ ข้อความในจดหมายที่แนบมา (อุตส่าห์ส่งสาส์นรัก Love Note มาด้วย) เขาบอกว่าทุกครั้งที่เขาได้ “สั่งสอน” คนไทยที่ไม่มีระเบียบวินัย ชอบมาจอดรถในที่ของเขา และไปทำแบบนี้ จะรู้สึก “สะใจ” เหมือนว่าได้ Give them a lesson! คือให้บทเรียนกับคนที่ไม่มีวินัยแบบนี้ ยิ่งมีการมาโวยวายกันมากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกสะใจมากขึ้นว่าบทเรียนที่ให้ไปนั้นได้ผล ทำให้คนไทยสำนึก
แต่เขาบอกว่า ผมมาแปลกที่เอาดอกไม้มาขอโทษ แถมยังอธิบายเหตุผลด้วย และได้เห็นตัวอย่างว่า ผมก็ไม่โกรธที่มีคนอื่นมาจอดรถทับที่ผม ทั้งที่สองบริษัทฯ ผมดูแล้วน่าจะมีที่จอดมากกว่าบริษัทเขาบริษัทเดียว สรุปแล้ว เขารู้สึกสำนึกว่าไม่ควรทำเรื่องแบบนี้ เขารู้สึกไม่ดีและอยากขอโทษ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่รู้สึกแบบนี้
ในย่อหน้าสุดท้าย เขาบอกว่าในฐานะที่ผมทำบริษัทประชาสัมพันธ์ เขาก็เป็นบริษัททัวร์ชั้นนำ ขอมาเป็นลูกค้าได้หรือไม่ สรุปว่า จากการที่เราเจอเหตุการณ์แย่ๆ เราสามารถพลิกให้คนสำนึกได้ด้วยตนเอง และยังแถมมาเป็นลูกค้าอีก เป็นอานิสงส์ของสติจริงๆ
ผมไม่ได้รับเขามาเป็นลูกค้า ไม่ใช่ว่ากลัวจะโดนอะไรอีก แต่เผอิญตอนนั้นเรามีลูกค้าเต็มมืออยู่แล้ว และหลังจากนั้น เหตุการณ์การกรีดยางรถ กรีดรถรอบคันในที่จอดรถของอาคารก็ไม่มีอีกต่อไป…
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด ใครเชิด ใครชู ช่างเขาใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

ปลูกอะไร…ก็จะได้อย่างนั้น


นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มชรา และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือลูกชายของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่ต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆ ในบริษัทของเขามารวมกัน แล้วกล่าวว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ และฉันก็จะตัดสินใจเลือกหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”
นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ กิตติ เขาเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ยเป็นอย่างดี
ผ่านไปหนึ่งเดือน พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่น ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับ และคุยกันถึงเรื่องความเติบโตของต้นไม้ แต่กิตติก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 2 เดือนผ่านไป .. 3 เดือนผ่านไป.. 4 เดือนผ่านไป ก็ยังไม่เห็นต้นไม้งอกออกมาเลย
ตอนนี้หนุ่มๆ ได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่กิตติไม่รู้จะคุยอะไร เพราะต้นไม่ของเขาไม่งอกออกมา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 10 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำให้มันเติบโตได้แน่ๆแล้ว
ทุกๆคน มีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นกิตติที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป
ผ่านไปครบตามกำหนดเวลา 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEO ได้ตัดสิน… กิตติพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอสกระถางเปล่าๆใบนี้ไปโชว์ เพราะมันปลูกไม่ขึ้น” ภรรยาบอกเขาว่า ให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง กิตติรู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้อง CEO ที่ได้นัดหมายกันไว้
เมื่อกิตติมาถึง เขารู้สึกแย่เนื่องจาก ต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรง สวยงามกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของกิตติ ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ
เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน กิตติได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคุณจะได้เลื่อนเป็นCEO ก็วันนี้แหละ”
พอท่านประธานเห็นกระถางของกิตติ ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกกิตติขึ้นมาข้างหน้า กิตติรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก
เมื่อกิตติเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” กิตติก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตามจริง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นกิตติ
ท่านมองมาที่กิตติแล้วก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. กิตติ”
กิตติแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้ยังไง และแล้วท่านประธานก็กล่าวว่า “เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกๆคน และให้ดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นกิตติ นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนสินะ กิตติเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง กิตติ ให้เป็น CEO คนต่อไปของบริษัทเรา”
ข้อคิดที่ได้ …
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดละออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น … ลองคิดดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้

บทความดีๆ ท่านมองตัวเองอย่างไร?


สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการแต่กำเนิด (cerebral palsy) ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปรกติและพูดไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา เธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอตามที่ต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น
ครั้งหนึ่ง เธอไดเรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (เธอพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน) หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
“คุณอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่เกิด คุณเคยรู้สึกน้อยใจไหม? แล้วท่านมองตัวเองอย่างไร?”
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ผู้ที่ร่วมฟังบรรยายอย่างมาก ต่างห่วงว่า คำถามนี้จะกระทบความรู้สึกของเธอ ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสือว่า
“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”
เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ
1.ฉันเป็นคนนิสัยน่ารักมาก
2.ฉันมีขาที่เรียวงาม สวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้า ได้มอบความรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก
และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”หลังจากนั้น เสียงปรบมือดังสนั่นในห้องบรรยาย พร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆคน ณ วันนั้น ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอ ได้เพิ่มกำลังใจแก่ผู้คนอย่างมากมาย เธอผู้เป็นโรคสมองพิการนี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน (Huang Meilian) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลักสุขภาพจิตและสบายใจด้วย ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการมองสิ่งต่างๆ จงหันมามองสิ่งที่ดีในตัวเอง ลืมในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลืมอดีตที่ผ่านไป มองไปข้างหน้าแล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด

ลุงดราม่าหนัก เบิกเงินธนาคาร พนง.ให้ไปกด ATM



มีตาลุงแต่งตัวธรรมดา งกๆเงิ่นๆ มาที่เค๊าเตอร์ธนาคารและขอเบิกเงิน
ตาลุง : ลุงขอเบิกเงิน 2,000 บาทหน่อยสิ
พนักงาน : ลุงคะเบิกเงินแค่นี้ ทำไมไม่ไปเบิกที่ตู้ ATM ล่ะคะ
ตาลุง : ลุงกดไม่เป็นเลยมาที่เค้าเตอร์น่ะ
พนักงาน : ที่เค้าเตอร์เค้าให้เบิกตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไปน่ะค่ะ
ตาลุง : งั้น…ลุงขอถอนเงินหมดบัญชีเลยก็แล้วกัน….แล้วก็ยื่นสมุดบัญชีให้พนักงานแต่เมื่อพนักงานสาวรับสมุดบัญชีไปก็ต้องตกใจ เพราะมีเงินตั้ง 10 ล้านพนักงาน :คุณลุงคะ…จะถอนเงินทั้งหมดวันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ คุณลุงต้องแจ้งล่วงหน้าเพราะเงินมันเยอะน่ะค่ะตาลุง : งั้นลุงถอนได้มากสุดเท่าไหร่ล่ะ?
พนักงาน : ถอนได้มากสุด 2 ล้านน่ะค่ะ
ตาลุง : โอเค…งั้นถอน 2 ล้านให้หน่อยนะ
พนักงานทั้งสาขาก็รีบมาอำนวยความสะดวก พาไปนั่งโซฟานุ่มๆ พร้อมเสริฟชา กาแฟเต็มที่ พร้อมทั้งกล่อมให้ยังฝากเงินที่เหลืออีก 8 ล้านต่อไป
ผ่านไปซักพัก พนักงานก็นำเงิน 2 ล้านมาให้ลุง พอตาลุงได้รับเงินแล้วก็หยิบเงินไป 2,000 บาท ใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมทั้งบอกว่า
ตาลุง : ช่วยนับเงินที่เหลือ แล้วเอาเข้าบัญชีลุงเหมือนเดิมด้วยนะ….ขอบคุณ

สอนหญิงหาคู่ชีวิตที่ดี


บริษัททำเหมืองทองแห่งหนึ่ง มีวาระการประชุม โดยมีพนักงานสาวแสนเซ็กซี่ แต่งกายวาบหวิวเข้าร่วมประชุมกับประธานบริษัทด้วย เมื่อประธานฯ พบเจอกับสาวดังกล่าวก็พูดกับสาวสวย ที่ทำให้เธอต้องจดจำไปจนตาย
คุณรู้ไหม? สิ่งที่มีค่ามากๆในโลกของเราล้วนหายาก ถูกปกปิด ถูกเก็บไว้ในที่ลึกลับ กว่าจะได้มานั้นยากลำบาก ดั่งเช่น
    • ไข่มุก ก็ต้องอยู่ลึกไปในท้องทะเล ถูกห่อหุ้มด้วยฝาหอยที่แข็งแรง
    • เพชร ก็เป็นของหายาก อยู่ใต้ผืนโลก ถูกห่อหุ้มปกป้องไว้อย่างดี
    • ทองคำ ก็อยู่ลึกไปในเหมือง ที่ถูกทับถมซุกซ่อนด้วยดินหลายชั้น กว่าใครจะได้มาครอบครอง ก็ต้องลงทุนลงแรงมากมาย เพื่อจะได้มา


    • รูปร่าง ร่างกาย ของคุณนั้นหากมันคือสิ่งที่มีค่ามันก็ก็ควรจะถูกปกปิดเช่นกัน ถ้าคุณได้ปกปิดของมีค่าไว้อย่างมิดชิดและดูมีคุณค่า ดั่งเช่นเหมืองแร่ทองคำแล้ว วันนึงก็จะมีบริษัทที่มีชื่อเสียงที่ดีงาม เข้ามาสนใจสืบค้นหาตามแบบอย่างที่ถูกต้อง โดยเข้าจะต้องติดต่อรัฐบาล (ครอบครัวคุณ) เพื่อที่จะขอทำสัญญา (ดูแลคบหา) และหากได้รับใบอนุญาต ก็จะทำเหมืองอย่างมืออาชีพ (แต่งงานตามกฎหมาย)
      แต่ถ้าคุณยังปล่อยให้สิ่งที่มีค่าเช่นทองคำ หรือร่างกายของคุณไร้การปกปิด วางแผ่หราอยู่บนผืนโลก ใครก็เห็นและเข้ามากอบโกยได้โดยง่ายดาย ก็เท่ากับว่าคุณเชิญชวนพวกลักลอบทำเหมืองผิดกฎหมายให้เข้ามากอบโกย โดยใช้เครื่องมือห่วยๆ ขุดกันอย่างเละเทะไร้คุณค่า ดังนั้น คุณควรจะปกป้องห่อหุ้มขุมทรัพย์ที่มีค่าไว้อย่างดีสำหรับผู้ที่เหมาะสมเถอะนะ


สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ


มีคน 2 คนเป็นเพื่อนรักกันมาก ร่วมเดินทางไปในทะเลทราย… ระหว่างทาง เกิดมีปากเสียงกันรุนแรงทะเลาะกัน เพื่อนคนหนึ่งระงับอารมณ์ไม่อยู่…ตบหน้าอีกฝ่าย เพื่อนที่ถูกทำร้าย….เจ็บปวด…แต่ไม่เอ่ยวาจา… กลับเขียนข้อความลงบนผืนทรายว่า “วันนี้…ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า”
พวกเขายังคงเดินทางต่อไป…จนกระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาก็อาบน้ำ….เพื่อนคนที่เคยถูกตบหน้า ได้พลัดตกแหล่งน้ำ จมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รอช้า รีบลงไปช่วยทันที คนรอดตาย…ยังคงไม่เอ่ยวาจา…กลับสลักข้อความลงไปบนก้อนหินใหญ่…“วันนี้…เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้”
อีกคนไม่เข้าใจ…เลยถามว่า “เมื่อเธอถูกฉันตบหน้า เธอเขียนเรื่องราวลงพื้นทราย แล้วเรื่องที่ฉันได้ช่วยเธอจากการจมน้ำ ทำไมจึงต้องสลักบนก้อนหิน”
อีกคนยิ้มพราย…กล่าวตอบเมื่อถูกคนที่รักทำร้าย…เราควรเขียนมันไว้บนพื้นทราย ซึ่ง “สายลมแห่งการให้อภัย” จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ”
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมายเกิดขึ้น เราควรสลักไว้บน “ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ” ซึ่งต่อให้มีสายลมพัดแรงเพียงใด ก็ไม่อาจ ลบล้าง ทำลาย